ประวัติบ้านเปลือย หมู่ที่ 6 ตำบลหวาย อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
       คัดจาก หนังสือประวัติหมูบ้าน เนื้อหา โดย ตาสม (พ่อใหญ่สม มูลต้น ปราชญ์ชาวบ้าน) และตาจุฬา (พ่อใหญ่จุฬา ประธรรมสาร อดีตครูใหญ่โรงเรียนบ้านเปลือย) สำนวนโดย ตาแถว (สถิต เล็งไธสง)
       บัดนี้ จักเล่าเรื่อง วัด และหมู่บ้านเปลือย ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งแม่น้ำเสียวให้ทานฟัง ฟังแล้วอย่านึกไปในทางอกุศลเลยนะครับ ความจริงคำว่า “เปลือย” นั่นก็คือ ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ชื่อต้นเปือยหรือตะแบกบ้านเราดี ๆ นี่เอง สำคำว่า “เสียว” นั้นก็เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งเป็นไม้พุ่ม ต้นเหมือนแส้ชูสล้างใบเล็ก ๆ เหมือนใบมะขามป้อม ขึนอยู่ตามลุ่มน้ำทางภาคอีสานทั่วไป พอรู้แล้วท่านก็ต้องร้อง อ๋อ ซินะครับ
        หมู่บ้านนี้ตั้งขึ้นเมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณ พ.ศ. 2327 โดยพ่อเฒ่าสามคนอพยพมาอยู่ที่ตรงนี้ จากที่ต่างกันคือ พ่อเฒ่าศรีสมบัติ กับพ่อเฒ่ากระฮอก อพยบมาจากบ้านแคนซึ่งอยู่ทางเหนือของบ้านเปลือยเวลานี้ ห่างออกไปประมาณ 7 กิโลเมตรได้ แต่เวลานั้นการเดินทางต้องค้างคืน เพราะทางไปลำบากมาก ส่วนอีกคนหนึ่งได้แก่พ่อเฒ่าเมืองปาก ซึ่งเป็นชาวสุวรรณ-ภูมิ เริ่มต้นหมู่บ้านด้วย 3 หลังคาเรือน แม้จะมาจากที่ต่างกัน พ่อเฒ่าทั้งสามก็อยู่กันด้วยความสามัคคี ที่พ่อเฒ่าทั้งสามเลือกเอาทำเลนี้เป็นที่ตั้งถิ่นฐาน ก็เพราะเห็นว่ามีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำจากลำน้ำเสียว ปู ปลา กบ เขียด มากมาย ผมได้รับคำบอกเล่าจากผู้เฒ่ารุ่นที่เกิดประมาณ 100 ปีมานี้ ถ้าใช้หนามคัดเค้าต่างเบ็ด และภายในเวลาไม่กี่นาทีก็ได้ปลาแล้ว เบ็ดอันเดียวติดปลาสองตัวก็มี คือทีแรกตัวเล็กมากิน เจ้าของเบ็ดยังไม่ทันจะไปปลดเอาปลาออก ตัวที่ใหญ่กว่าก็มากินและติดเบ็ดด้วย ท่านคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าเมื่อก่อนนี้ บ้านเมืองของเราอุดมสมบูรณ์สักเพียงใด ทางทิศใต้ของหมู่บ้านมีป่าขนาดใหญ่ เมื่อก่อนนี้เป็นดงทึบ มีสัตว์ป่านานาชนิด เช่น เสือ เก้ง หรือกวางก็มี พ่อใหญ่จารย์นาม เล่าให้ผมฟังว่า สมัยท่านเป็นหนุ่ม ท่านใช้ปืนเพลิงยิงสัตว์ป่า ครั้งหนึ่งท่านเห็นกวางตัวหนึ่งอยู่ใกล้ตัวท่านเพียงไม่ถึง 10 วา ท่านยกปืนขึ้นประทับยิง แต่ดินปืนอ่อนไม่สามารถหยุดเจ้ากวางตัวนั้นได้ ท่านรู้สึกเสียดายทีสุดในชีวิต
        ต่อมาอีก 4 ปี ก็มีชาวบ้านโนนน้อง (ร้างไปแล้ว) ซึ่งหนีโรคระบาดอพยพมาอยู่ด้วย 22 ครอบครัว หลังจากนั้นก็มีผู้คนอพยพมาอยู่เพิ่มขึ้นอีก จนเมื่อปี พ.ศ. 2335 มีครัวเรือนประมาณ 30 เศษ ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันยกพ่อเฒ่าเมือปากชาวสุวรรณภูมิที่ว่านั้น ขึ้นเป็นหัวหน้าปกครอง หมู่บ้าน และในปีเดียวกันชาวบ้านเห็นว่ายังไม่มีวัดสำหรับบำเพ็ญกุศล การทำบุญต่าง ๆ จะต้องอาศัยวัดบ้านแคน ซึ่งทางกันดารและเป็นป่าทึบอันตราย จึงได้พร้อมใจกันหาที่ดินสร้างวัดและ พิจารณาลงความเห็นว่า บริเวณป่าทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านเป็นที่เหมาะสมที่สุด จึงได้ช่วยกันสร้างวัดขึ้น คือวัดบ้านเปลือยที่มีอยู่เวลานี้
        วัดบ้านเปลือยแห่งนี้ เดิมใหญ่โตและมั่นคงมาก สมัยผมเป็นเด็กจำความได้ประมาณ 50 ปีมาแล้วนั้น เต็มไปด้วยต้นโพธิ์พฤกษ์อันร่มรื่นอยู่รอบด้าน ต้นตาลขึ้นกระจายอยู่ทั่ววัด และ ต้นลำดวนอยู่ทางทิศเหนือวัด ออกดอกหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ นอกนั้นเป็นไม้ผล เช่น ต้นมะม่วง ต้นมะขาม ต้นจันทน์ ที่ยังเหลืออยู่บ้างเวลานี้ แต่น่าเสียดายต้นโพธิ์ ซึ่งถูกสมภารผู้ไม่เข้าใจคุณค่าของป่าไม้บางคน โค่นจนเหลืออยู่เพียงต้นเดียวทางทิศใต้ของวัด ไม้ต้นนี้ดูเหมือนผมเป็นผู้นำต้นเล็กมาปลูกไว้เมื่อ พ.ศ. 2498 ขณะที่บวชเป็นพระอยู่ที่นั่น
        สมัยผมเป็นเด็กอายุ 6 – 7 ขวบนั้น วัดบ้านเปลือยยังมีกุฏิหลังใหญ่ ๆ อยู่ สาม หลัง มุงด้วยกระเบื้องดินขอ รั้งวัดทำด้วยไม้ต้นใหญ่ ๆ มีลวดลายสวยงาม พระพุทธรูปทำด้วยไม้ฉาบด้วยทอง และเป็นพระพุทธรูปยืนธรรมมาสทำด้วยไม้สลักลาย สวยงามมาก ที่จำได้ติดตาก็คือ มีรูปเขียดตาปาดและคางคกสลับกัน ส่วนโบสถ์นั้นเหลือแต่สิมน้ำปลูกอยู่ในสระใหญ่ทางทิศเหนือของวัดเวลานี้ น้ำใสเต็มใบด้วยบัวหลวงออกดอกขามเต็มสระสวยงามเหลือประมาณ พระภิกษุองค์แรกของวัดบ้านเปลือยนั้น เป็นบุตรชายของพ่อเฒ่ากระฮอกนั่นเอง ซึ่งเดิมบวชอยู่ที่วัดบ้านแคน แล้วได้รับนิมนต์มาอยู่เป็นสมภารวัดบ้านเปลือย ปีต่อมามีพระมาบวชเพิ่มเติมอีก องค์สำคัญคือพระสอน ซึ่งบวชอยู่หลายปี จนได้เป็นยาครู (อาจารย์อาวุโส) หลังจากสิ้นบุญญาครูสอน ก็มีพระบุญมาเป็นเจ้าอาวาสได้ 8 พรรษาก็ถึงแก่มรณภาพ หลังจากนั้นญาครูบุญมีเป็นเจ้าอาวาสครองวัดต่อมาเป็นเวลาถึง 21 พรรษา หลังจากนั้นก็มีพระครองวัดเรื่อยมา เป็นเวลาสั้นบ้างยาวบ้าง ระหว่าง 5 – 18 ปี โดยวัดไม่เคยร้างเลย นับได้ดังนี้คือ พระอาจารย์พรมมา พระอาจารย์เสา พระอาจารย์พรมมาอีกคนหนึ่ง พระอาจารย์ลอด พระอาจารย์ผม พระอาจารย์บุดดี พระอาจารย์เนตร พระอาจารย์เลง พระญาครูจันทร์ พระอาจารย์บุญโฮม พระอาจารย์ทองสา พระอาจารย์อุตสาห์ พระอาจารย์ทองดี พระอาจารย์สวน พระอาจารย์เส็ง พระอาจารย์ทองดา และปัจจุบันพระอธิการจันดี ปุณณโก เป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน และเป็นเจาคณะตำบลด้วย
        สำหรับการเผยแพร่ขยายของหมู่บ้านนั้น ค่อนข้างช้า เพราะที่ดินทำกินมีจำกัด เมื่อผู้คนมากขึ้นที่ดินทำกินน้อยลง ก็มักจะอพยพไปอยู่ที่อื่นเป็นเนือง ๆ ปัจจุบันมีครอบครัวร้อยเศษ ประชากร 605 คน มีผู้ใหญ่บ้านสืบทอดกันมาตั้งแต่มีกฏหมายการปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 เป็นต้นมาจำนวนไม่น้อยกว่า 10 คน
       ผมจำได้ว่า ตรงทางแพร่งกลางหมู่บ้านเปลือยมีต้นมะขามใหญ่ และถัดมาทางตะวันตกเป็นป่าดอกเกดขึ้นอยู่หนาแน่น ออกดอกหอมอบอวลไปทั่วหมู่บ้าน แสนจะชื่นใจเมื่อเวลาเดินผ่าน ตะวันออกหมู่บ้านมีป่าดอนปู่ตา หนาทึบ ผมเคยไปหาหน่อไม้มาแกงในหน้านา เคยไปแก้บนกับคุณแม่ แล้วผมก็ได้กินไข่ต้ม เป็นที่ร่มรื่น เต็มไปด้วยใบไม้ที่ทับถมเป็นปุ๋ยธรรมชาติอันอุดม หน้านาน้ำเซาไหลลงสู่ทุ่งนาทำให้ข้าวงาม ทางหัวนอนหรือทางทิศใต้หมู่บ้านมีป่าใหญ่ ต้นรัง ต้นพะยอมออกดอกสะพรั่งในต้นคิมหันตฤดู มีต้นเต็งซึ่งผมเคยไปเก็บชันมาบดผสมน้ำมันยาง ทาครุ ไม้ไผ่สูงตระหง่านใบหนาจรดกันแทบมองไม่เห็นฟ้า ข้างล่างเป็นต้นต่องแล่งพุ่มเตี้ย กอปงและต้นกระเจียวแถวชายป่า มีทั้งสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่มากมาย เห็ดก็มีทุกชนิดและมีหลายหลายจำนวนมาก ลำน้ำเสียวเต็มไปด้วยปลาขายน้อย เวลาพายเรือไปมันจะกระโดดเข้าเรือ พอถึงบ้านก็พอได้ปิ้งกิน จากวันเริ่มตั้งหมู่บ้านมาจนถึงทุกวันนี้ บ้านเปลือยมีอายุถึง 220 ปีแล้ว ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจ สมัครสมาน สามัคคี ร่วมกันสร้างสรรค์ พัฒนาในสิ่งที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้อง สืบสานต่อจากบรรพบุรุษที่ปฏิบัติกันมา ให้มีความเจริญทัดเทียมกับหมู่บ้านไกล้เคียง แต่อนิจจา สิ่งประเสริฐทั้งหลายเหล่านี้ จะกลายเป็นอดีตไปเสียแล้วหรือ มันจะหวนกลับคืนสภาพเดิมได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความสำนึกดีของพี่น้องประชาชนทั้งหลายที่จะช่วยกันปลูกป่า อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ให้แผ่นดินที่แสนรักแสนหวงแหนแห่งนี้กลับฟื้นคืนสภาพเหมือนดังเดิมแต่อดีด ข้อสำคัญก็คือ อย่าเห็นแก่ตัว ขอให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
       เขียนโดย คุณตาแถว (สถิตย์ เล็งไธสง) เมื่อปี พ.ศ. 2525